วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

องค์ประกอบในการจัดฉาก

          การจัดวางองค์ประกอบ (Composition)  หมายถึง  การจัดวางตำแหน่งขององค์ประกอบฉาก ต้องยึดหลักของความสมดุลและมีเอกภาพ ให้เหมาะสมกับพื้นที่ มุมและตำแหน่งของกล้อง ดังนั้นผู้ออกแบบฉากจำเป็นต้องทราบถึงแผนการถ่ายทำของรายการและการวาง มีความรู้ด้านการจัดองค์ประกอบ ด้วยเช่นกัน ตำแหน่งกล้องทั้งหมดเพื่อที่จะได้วางแผนจัดองค์ประกอบของฉากให้สามารถใช้งาน ได้ดีเหมือนกันหมดทุกมุม

           เส้น  Line หมายถึง รูปร่างโดยส่วนรวมของฉาก รวมไปถึงมิติและการมองเห็นได้ด้วยตา(Perspective)

           ดังนั้นรูปร่างของฉากควรสร้างความกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(Unity) อีก ทั้งยังช่วยสร้างบรรยากาศหรืออารมณ์ของรายการได้ ซึ่งฉากที่มีการจัดเหมือนจริง ก็จะใช้เส้นหรือฉากที่มีรูปร่างธรรมดา มีมุมมองธรรมดาเพื่อให้เกิดความสมจริง เช่น ห้องก็จะเป็นรูปสี่เหลี่ยม ของที่อยู่ใกล้มักจะใหญ่กว่าของที่อยู่ไกลเป็นต้น

เส้นสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท คือ

         1. เส้นแนวนอน ( Vertical Line ) หมายถึง เส้นที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงตามแนวนอน จะให้เกิดความรู้สึกถึงความกว้าง และเรียบ
         2. เส้นแนวตั้ง ( Horizontal Line ) หมายถึง เส้นที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงแนวดิ่งหรือแนวตั้ง จะให้เกิดความรู้สึกถึงความสูงแลความลึก
         3. เส้นแนวเฉียง ( Perspective Line )  หมายถึง เส้นที่มีลักษณะเป็นเส้นตรงทำมุมเป็นมุมเฉียง จะให้เกิดความรู้สึกถึงการเคลื่อนที่ การย้ำเน้น และความลึก
         4. เส้นที่ไม่ใช่เส้นตรง  ( Cycle Line )  หมายถึง เส้นที่มีลักษณะโค้ง ไม่เป็นเส้นตรง จะให้เกิดความรู้สึกถึงความอ่อนไหว ความสับสน ความโลเล ความงุนงง และการเคลื่อนไหว

         พื้นผิวTexture หมายถึง การสร้างลักษณะทางกายภาพของพื้นผิว เช่น ผิวเรียบ ผิวขรุขระ ผิวมันวาว เป็นต้น สามารถแบ่งได้ 2 วิธีคือ 
               1. การสร้างพื้นผิวที่มีมิติขึ้นมาจริง 
               2. การระบายสีหรือการวาดเพื่อให้ดูเหมือนพื้นผิวแบบต่างๆ

          สี (Color) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากในการออกแบบ เพราะสีจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความลึก มีมิติ สร้างความ สมจริง ให้อารมณ์ และสร้างจุดเด่นให้กับฉาก ดังนั้นควรเลือกใช้สีในฉากต่างๆควรมีการกำหนดและใช้อย่างถูกต้องเพื่อ ประสิทธิภาพของงาน

ข้อควรระวังในการใช้สีเพื่อการออกแบบ

              1.ไม่ควรใช้สีขาวจัด หรือดำสนิท เพราะกล้องไม่สามารถทำงานกับความสว่างที่สูงมากๆหรือต่ำมากๆได้
              2.ไม่ ควรใช้สีอ่อนเกินไป เช่น ฟ้าอ่อน เหลืองอ่อน ชมพูอ่อน หรือการใช้สีที่เข้มเกินไปเช่น แดงเข้ม น้ำเงินเข้ม หรือน้ำตาลเข้ม เพราะสีที่อ่อนเกินไปเมื่อโดนแสงจะถูกดูดกลืนไปกับสีขาว ส่วนสีที่เข้มมากๆจะถูกดูดกลืนจากสีดำ
              3.ไม่ควรใช้สีสะท้อน เพราะทำให้การวัดแสงของกล้องวัดแสงอัตโนมัติไปที่สีสะท้อนตรงนั้น
              4.ควร ระวังเรื่องแสงสะท้อน เช่นถ้าโต๊ะเป็นสีเขียวหรือสีขาว เมื่อโดนแสงอาจสะท้อนโดนหน้านักแสดง หรือวัตถุอื่นๆในฉากให้เกิดการเปลี่ยนสีได้ ดังนั้นจึงต้องระวังเรื่องแสงสะท้อน ทางที่ดีควรใช้สีเป็นสีขาวหม่นหรือสีเทา

การตัดต่อ (Editing)

Electronic
- Control track Editing
- Automatic Time code Editing
- Computerize Time code Editing

หลักพื้นฐาน
- Continuity
- Complexity
- Ethic

Voice
- Voice over ( voice overlap )
- Voice off scene

Sequence - การลำดับ Sequence ตามความเหมาะสมของขนาดภาพ
- สูตร Picture Sequence
- Direction & Meaning

Position of shot
- Dynamic Cutting
- Narrative Cutting
- Montage Cutting
- Cross Cutting

- Parallel Cutting




ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html

การให้แสง

ประเภทของการให้แสง มีดังนี้ 

1. Back lighting คือ การให้แสงด้านหลัง โดยใช้ไฟดวงไฟที่มีแสงขับสองลำแสงพุ่งจากด้านหลังวัตถุ ระหว่างฉากหลังกับวัตถุ ให้ลำแสงส่องกระทบด้านหลังสิ่งที่ถ่ายปรากฏ เด่นเห็นได้ชัดเจน มองเห็นเด่นตัดกันกับฉากหลัง

2. Flat lighting คือ การให้แสงที่เท่าเทียมกัน เข้าในบริเวณฉากโดยทั่วไป ส่องจากด้านหน้าเข้าหาฉากหรือวัตถุ ทำให้มองเห็นสิ่งที่ได้รับแสงนั้น มีลักษณะแบน ไม่เด่นชัดเท่าที่ควร ปราศจากความกลมโค้งหรือลึก

3. Foundation lighting คือ การให้แสงเป็นพื้น เพียงให้มีความสว่างเพียงพอที่กล้องโทรทัศน์จะถ่ายภาพให้มองเห็นได้ หรือการให้แสงสาดทั่วไปทั้งฉากโดยเท่าเทียมกัน ไม่ปรากฏสิ่งที่ชัดเจนมากนัก 

4. Front lighting คือ การให้แสงจากด้านหน้า ไปยังฉากหรือส่วนของฉาก โดยการให้แสงลักษณะพร่า (Diffused) และมีความสว่างต่ำ ตั้งดวงไฟไว้เหนือกล้องหรือข้างๆกล้อง

5. Hard lighting คือ การให้แสงเข้ม ตัดกันจากดวงไฟฉายที่ให้ความสว่างสูงสุด ส่องตรงไปยังวัตถุในฉากแสงที่กระทบจะมีลักษณะสว่างมาก แสงการตัดกันของเงาเข้มหรือเงาดำ ซึ่งมีเส้นขอบคมมากทางด้านหลังของวัตถุ ตามทิศทางของลำแสงแต่ละลำ ภาพที่ถ่ายด้วยลำแสงเช่นนี้จะมีสีตัดกันสูงมาก(High contrast)

6. High key light คือ การให้แสงแบบไฮคีย์ (High key) โดย การให้แสงไปที่ฉากและวัตถุ ซึ่งจัดให้มีสีอ่อนจางหรือสีขาวเป็นส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดด้วยแสงสว่าง และทิศทางของลำแสงที่ไม่ก่อให้เกิดเงาดำในบริเวณฉากเลย ภาพที่ปรากฏทั้งหมดจะเป็นสีจางอ่อนมาก หรือขาวลดหลั่นกันไปเกือบทั่วบริเวณภาพ

7. Low key light คือ การให้แสงแบบโลว์คีย์ (Low key) โดย ให้แสงไปยังวัตถุและฉาก ที่จัดให้เป้นสีดำเป็นส่วนใหญ่ หรือทั้งหมดด้วยแสงสว่างและทิศทางของลำแสง ที่ไม่ก่อให้เกิดความกระจ่างจ้าเป็นขาว (High light) ให้ ในบริเวณฉากได้เลย ภาพที่ปรากฏในแากทั้งหมดจะเป็นสีดำอ่อนและแก่ตามความลดหลั่นของสีขาวบริเวณ ภาพ ในลักษณะตรงกันข้ามกับการให้แสงแบบไฮคีย์ (High key)

8. Soft lighting คือการให้แสงอ่อนๆ โดยใช้สิ่งให้แสง (Light source) หรือดวงไฟฉายที่มีลำแสงพร่ากระจาย (Diffused light) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดเงาดำขึ้นภายในฉากเลย




ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_4156.html

เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นง่ายๆ


เทคนิควิธีการสร้างหนังสั้นง่ายๆ


ขั้นแรก หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำ การตัดต่อ การประเมินผล

ขั้นสอง หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึงผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิร์ค
ขั้นสาม เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ
ขั้นสี่ บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา เรื่องบทจะมี หลายแบบ
- บทแบบสมบูรณ์ เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูด
- บทแบบอย่างย่อ เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง
- บทแบบเฉพาะ 
- บทแบบร่างกำหนด
ขั้นห้า การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบ เยอะมาก มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้ เป็นต้น
ขั้นหก ค้นหามุมกล้อง
- มุมคนดู เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ
- มุมแทนสายตา 
- มุม point of view มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆ สวยมากในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ
ขั้นเจ็ด การเคลื่อนไหวของกล้อง
- การแพน การทิลท์ การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันธ์กัน
- การดอลลี่ การติดตามการเคลื่อนไหว
- การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง
ขั้นแปด เทคนิคการถ่าย
จับกล้องให้มั่น จับแบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลย และไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็ว กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอ
ขั้นเก้า หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟคต์ ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่องตัวอักษรหนังสือ
ขั้นสิบ การตัดต่อ
1.จัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้ง
2. จัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่วางไว้
3. แก้ไขข้อบกพร่อง
4. เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม
5. ควบคุมเรื่องเสียง

ขั้นตอนการตัดต่อและเชื่อมฉากมีอะไรบ้าง

- การตัด cut
- การเฟด fade
- การทำภาพจางซ้อน
- การกวาดภาพ
- ซ้อนภาพ
- ภาพมองทาจ






ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html

Teaser กับ Trailer

Teaser กับ Trailer เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร?

Teaser 
- Teaser ตรงตามความหมายของคำศัพท์คือ ยั่วเย้า ไม่จำเป็นว่าจะต้องตีกรอบไว้เฉพาะที่เป็นวีดีโอ ใบปิดหนังก็เรียก Teaser ได้ ในส่วนภาพเคลื่อนไหว ก็จะออกมาเป็นตัวอย่างหนังที่เป็นทีเซอร์ จะมีความยาวแบบสั้นๆครับ แค่นาทีหนึ่งบวกลบคงไม่เกิน30วินาที ซึ่งไม่ใช่กฏตายตัวแต่อย่างใด แล้วแต่ผู้ผลิต จุดประสงค์หลักๆ คือยั่วเย้าให้คนดูอยากติดตาม ที่สำคัญมันต้องสั้น ไม่ได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวหนังมาก


Trailer

Trailer (เทรลเลอร์) คล้ายกับ Teaser แต่ยาวกว่า จุดประสงค์เดียวกัน แต่ถ้า Teaser ทำยาว3-4นาที ก็ยังเรียก Trailer ไม่ได้อยู่ดีครับ ถ้าขาดองค์ประกอบทั้ง แนวเรื่อง, อารมณ์เรื่อง, พล็อตเรื่องคร่าวๆ , ฉากไฮไลท์ เอาง่ายๆคือบอกรายละเอียดมากกว่า Teaser ในบรรดาหนังฮอลลิวูดส์ มี Trailer หนังที่ประสบความสำเร็จมากหลายเรื่อง อย่าง อิมพอสสิเบิล ที่ดึงคนดูอย่างถึงขีด http://www.youtube.com/watch?v=THVFkk-sEus ที่มาของ trailer นั้น
ถ้าแปลก็ ผู้สะกดรอย ส่วนใหญ่คงเข้าใจว่าประมาณบอกคร่าวๆให้รู้ (ตำราม.รามยังใส่เลย) แต่ถ้าลองค้นประวัติคือ ในช่วงแรก Trailer จะฉายต่อท้ายหนัง แต่ภายหลังถึงเปลี่ยนมาฉายก่อนหนังจะเริ่ม (ส่วนใหญ่ถ่ายเสร็จแล้วจึงออก ส่วนTeaser จะออกตอนถ่ายหนังไม่เสร็จ) ดังนั้นคำนี้ จึงน่าจะมาจากความหมายเดิมของ Trailer อีกตัวที่แปลว่า "พ่วง" "ต่อท้าย"







ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html


การเขียน story board

ความหมาย
     สตอรี่บอร์ด (Story Board) คือ การเขียนกรอบแสดงเรื่องราวที่สมบูรณ์ของภาพยนตร์หรือหนังแต่ละเรื่อง โดยมีการแสดงรายละเอียดที่จะปรากฏในแต่ละฉากหรือแต่ละหน้าจอ เช่น ข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี เสียงพูดและแต่ละอย่างนั้นมีลำดับของการปรากฏว่าอะไรจะปรากฏขึ้นก่อน-หลัง อะไรจะปรากฏพร้อมกัน เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่ละหน้าจอก่อนที่จะลงมือสร้างเอนิเมชันหรือ หนังขึ้นมาจริงๆ
• Storyboard คือ การสร้างภาพให้เห็นลำดับขั้นตอนตามเนื้อเรื่องที่ต้องการ โดยเฉพาะภาพเคลื่อนไหว
• รายละเอียดที่ควรมีใน Storyboard ได้แก่ คำอธิบายแต่ละสื่อที่ใช้ (ข้อความ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียง วีดิโอ)


หลักการเขียน
    รูปแบบของสตอรี่บอร์ด จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนภาพกับส่วนเสียง โดยปกติการเขียนสตอรี่บอร์ด ก็จะวาดภาพในกรอบสี่เหลี่ยม ต่อด้วยการเขียนบทบรรยายภาพหรือบทการสนทนา และส่วนสุดท้ายคือการใส่เสียงซึ่งอาจจะประกอบด้วยเสียงสนทนา เสียงบรรเลง และเสียงประกอบต่างๆ

สิ่งสำคัญที่อยู่ภายในสตอรี่บอร์ด ประกอบด้วย

- ตัวละครหรือฉาก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่หรือตัวการ์ตูน และที่สำคัญ คือ พวกเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างไร

- มุมกล้อง ทั้งในเรื่องของขนาดภาพ มุมภาพและการเคลื่อนกล้อง

- เสียงการพูดกันระหว่างตัวละคร มีเสียงประกอบหรือเสียงดนตรีอย่างไร

ข้อดีของการทำ Story Board

1. ช่วยให้เนื้อเรื่องลื่นไหล เพราะได้อ่านทวนตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะลงมือวาดจริง

2. ช่วยให้เนื้อเรื่องไม่ออกทะเล เพราะมีแผนการวาดกำกับไว้หมดแล้ว

3. ช่วยกะปริมาณบทพูดให้พอดีและเหมาะสมกับหน้ากระดาษและบอลลูนนั้น ๆ

4. ช่วยให้สามารถวาดจบได้ในจำนวนหน้าที่กำหนด (สำคัญสุด!)


ขั้นตอนการทำ Story Board

1.วางโครงเรื่องหลัก ไม่ว่าจะเป็น Theme, ตัวละครหลัก, ฉาก ฯลฯ

1.1 แนวเรื่อง

1.2 ฉาก

1.3 เนื้อเรื่องย่อ

1.4 Theme/แก่น (ข้อคิด/สิ่งที่ต้องการจะสื่อ)

1.5 ตัวละคร สิ่งสำคัญคือกำหนดรูปลักษณ์ของตัวละครแต่ละตัวให้โดดเด่นไม่คล้ายกันจนเกิน ไป ควรออกแบบรูปลักษณ์ของตัวละครให้โดดเด่นแตกต่างกัน และมองแล้วสามารถสื่อถึงลักษณะนิสัยของตัวละครได้ทันที

2. ลำดับเหตุการณ์คร่าว ๆ

จุดสำคัญคือ ทุกเหตุการณ์จะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เหตุการณ์ก่อนหน้าจะทำให้เหตุการณ์ต่อมามีน้ำหนักมากขึ้น และต้องหา จุด Climax ของเรื่องให้ได้ จุดนี้จะเป็นจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดก่อนที่จะเฉลยปมทุกอย่างในเรื่อง การสร้างปมให้ผู้อ่านสงสัยก็เป็นจุดสำคัญในการสร้างเรื่อง ปมจะทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามในใจและคาดเดาเนื้อเรื่องรวมถึงตอนจบไปต่าง ๆ นานา

3. กำหนดหน้า

4. แต่งบท

เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนลงมือวาดสตอรี่บอร์ด ควรเขียนบทพูดและบทความคิดที่จะใช้เขียนลงในหนังออกมาโดยละเอียดเพื่อที่จะได้กำหนดขนาดของบอลลูนและจัดวางลงบนหน้ากระดาษได้อย่าเหมาะสม

5. ลงมือเขียน Story Board




ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html

บทบัญญัติ 10 ประการ

บทบัญญัติ 10 ประการของการเขียนบท

ภาพยนตร์



      ผู้คนส่วนมากรู้จักการเขียนบทภาพยนตร์ แต่หากว่าคุณทำลายกฎเหล่านี้ จิตวิญญาณของคุณจะถูกสาปแช่งให้เป็นพวกมือสมัครเล่นตราบชั่วนิรันดร์หรืออาจยากเกินไปที่จะเป็นมือโปร ไม่ว่าทางใด คุณก็ต้องพิจารณอย่างรอบคอบเอาเองกับการชี้แนะเหล่านี้ไม่ว่าจะไปเขียนหรือจะไปรีไรท์บทของคุณ

เขียนบทภาพยนตร์ตามข้อบัญญัติ

1.สร้างความเพลิดเพลิดให้มากและมากขึ้น
     ความบันเทิงเป็นเหตุผลแรกที่จะทำให้คนออกไปดูหนัง ผู้ผลิตทุกคนรู้ดี ดังนั้นควรใส่ใจกับข้อ 1 ในบทของคุณ จงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการสร้างตัวละครหรือสถานการณ์ความเพลิดเพลินขึ้น และคุณก็จะได้เป็นนักเขียนในแบบที่ต้องการ บอกไว้เลย หากมีอะไรในบทของคุณไม่ได้สร้างความเอนเตอร์เทน “แก้ไขมันซะ”

2. ทำให้ทุกๆสิ่งน่าสนใจ
     อุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยนักอ่านที่ถูกเลี้ยงด้วยอาหารเลิศรสจากนักเขียนบทมืออาชีพ หากคุณต้องการโดดเด้งออกมา ควรหว่านเสน่ห์ความสนใจต่อพวกเขาและทำให้พวกเขาลืมว่ากำลังทำงานอยู่ควรที่จะทำต่อไปไม่หยุดยั้ง ทำให้ซีนของคุณน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตัวละครของคุณน่าสนใจ ทำให้บทสนทนาน่าสนใจ ทำให้ทุกสิ่งน่าสนใจ
3. ทำให้เราไม่สามารถหยุดติดตามตัวละครเอกได้
    นักเขียนบทมืออาชีพตั้งใจสร้างตัวละครที่พวกเราอยากติดตาม มีความพิเศษแถมน่าสนิทสนมด้วย พวกเราสามารถเกี่ยวก้อยกับเขาและต้องการร่วมทางไปกับตัวละคร
    หลักการทั่วไป ตัวละครเอกของคุณควรเป็นบุคคลที่เพอร์เฟ็กค์ที่พาเราจมลึกลงไปในเรื่องและความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้น อย่าทำแค่ให้มันดี แต่ทำให้มันยอดเยี่ยมกระเทียมดองไปเลย
4. สัญญากับพวกเราว่านี่คือสิ่งพิเศษที่กำลังมอบให้     ด้วยวิธีใดก็ตาม คุณต้องทำให้คนอ่านบทของคุณไปจนถึงหน้าสุดท้าย และนี่คือการแก้ปัญหา
15 ปีที่แล้ว ผมเคยอ่านหนังสือชื่อ “A Story Is A Promise” โดย บิลล์ จอห์นสัน ตั้งแต่นั้นมา ผมจะมองหาบทจากมุมมองว่า “อะไรคือคำสัญญาที่คุณจะให้กับคนอ่าน/ผู้ชมและคุณดำเนินไปในทางที่ไม่เหมือนใครได้อย่างไร”
     หัวใจสำคัญคือคุณคาดหวังต่อความสำเร็จจากตัวละครเอกหรือการเผชิญหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในองค์ 3 ระหว่างตัวเอกและตัวร้าย ถ้าสัญญายังซื่อสัตย์พอ พวกเราจะอ่านทุกหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

5.แสดงให้เห็นถึงความหมายอันลุ่มลึก
    ความหมายสามารถใส่เข้าไปในพล็อต,ตัวละคร,สถานการณ์,การกระทำ และบทสนทนาของบทฯ มันไม่จำเป็นต้องลึกซึ้ง เพียงอยู่ด้านล่างต่อการรับรู้ของผู้ชม
ผู้ชมและคนอ่านไม่ได้ชื่นชมการเขียนที่ตรงจนเกินไป ความหมายซ่อนนัย(Subtext)เปิดโอกาสให้พวกเขาได้สัมผัสกับภาพยนตร์ พวกเขาจะได้รับประสบการณ์ข้างในของเรื่องราว เพราะว่าพวกเขากำลังตีความว่าอะไรที่บทสนทนาและการแสดงหมายถึงจริงๆ เนื่องจากว่ามีความสำคัญที่จะต้องดูแล Subtext ของเรื่อง ดีกว่าสร้างเรื่องบนพื้นผิวแต่เพียงอย่างเดียว

6. วางตัวละครที่ของคุณอย่างสะบักสะบอม
     พ่อแม่ที่ดีจะดูแลลูกน้อยไม่ให้ใครมาทำอันตราย เช่นกันนักเขียนที่ยิ่งใหญ่จะวางตัวละครในสถานที่ย่ำแย่ที่สุดที่เป็นไปได้เพื่อท้าทายความเชื่อและข้อจำกัดด้านร่างกายของเขา อย่าหลงผสมสองสิ่งเข้าด้วยกันหล่ะ ผู้ชมไม่ต้องการดูหนังเพื่อเห็นตัวละครอยู่สุขสบายปลอดภัย พวกเขาต้องการเห็นตัวละครเสี่ยงภัย,ประสบอันตราย,โอกาสหนีรอดน้อยมากจากสิ่งที่ท้าทาย อาชีพนักเขียนบทภาพยนตร์จะทำให้คุณทำงานได้อย่างอึดทนทาน โดยร่างสุดท้าย ตัวละครของคุณจะเกลียดคุณสำหรับความเลวร้ายทุกสิ่งที่คุณมอบให้กับเขา จงไปทรมานตัวละครที่คุณรักซะ

7. ปล่อยบทสนทนาของคุณไปจะช่วยสะท้อนตัวละครได้มากขึ้น
    นักเขียนมือใหม่มักจะใส่บทสนทนาของพวกเขาด้วยการอธิบายรายละเอียดของเรื่อง นี่เป็นการลดค่าของตัวละครและความสร้างสรรค์ที่จะแสดงออกมาผ่านบทสนทนา ดังนั้นจงอย่าทำใส่การอธิบาย,ข้อมูล และรายละเอียดเรื่องเข้าไปในการกระทำและสถานการณ์แทน
     ยกตัวอย่างแทนที่พี่เลี้ยงนักมวยใหม่จะคอยพร่ำบอกซึ่งนั่นเป็นเป็นวิธีการที่ไม่ได้ผล ให้ลองใส่ตัวละครเข้าไปในเวทีมวยและเรียนรู้การถูกเตะ คราวนี้แหละพี่เลี้ยงไม่ต้องคอยสอนแล้ว ตามความจริงแล้วเขาจะมีอิสระในการพูดทุกสิ่ง – อาหารเช้า,การเมือง,หมาตัวโปรด และอื่นๆ เพราะว่าความหมายที่แท้จริงจะถูกบอกผ่านการกระทำเท่านั้น มันจะช่วยให้คุณมีอิสระขึ้นซึ่งจะทำให้คุณเจิดจ้าทางความมากขึ้นกว่าเดิมด้วยบทสนทนาอย่างแน่นอน

8. ใส่ความคลิเช่เข้าไปในไอเดียสดใหม่
    ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ คำว่า คลิเช่ (cliché) หมายถึง “บางอย่างที่เคยเห็นมาก่อนแล้ว” หากคุณเขียนบทด้วยพล็อดเดิม ตัวเอกคนเดิม หรือสถานการณ์คล้ายเดิม คนดูจะสะดุดไปคนดูต้องการเห็นเรื่องราวเดิมๆในหนทางที่แปลกใหม่และตัวละครตัวเดิมมีบางสิ่งพิเศษ นั่นหมายความตัวละคร,สถานการณ์,การกระทำ และบทสนทนาของคุณจำเป็นต้องไม่ซ้ำกับใคร
    ความท้าทายของคุณ : ตามล่าหาคลิเช่นในบทของคุณและระดมสมองหาวิธีการที่ไม่ซ้ำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ให้ใครก็ได้ช่วยบิดหรือดัดในหลายๆเสียงที่แตกต่างกัน มันเป็นชิ้นส่วนเล็กของงานก็จริง แต่มันได้ผลทันทีในบทของคุณ

9. อนุญาติให้ตัวเองเขียนร่างแรกได้ห่วยๆ…
….และทำให้ตัวคุณเขียนร่างสุดท้ายได้อย่างเยี่ยมยอดสมบูรณ์ ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ
นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับการเขียนบทดีกว่าการพยายามทำให้ดีตั้งแต่ร่างแรกและทำให้ตัวเองเขียนต่อไปไม่ได้(หัวตัน) ร่างแรกเป็นเวลาสำหรับการปลดปล่อยความอิสระแห่งการแสดงออก อย่าไปวิพากษ์งานของคุณ คุณต้องค้นหาเกี่ยวเรื่องของคุณ,ตัวละคร และอื่นๆ วิธีอื่น นักเขียนมักส่งบทไปให้กับโปรดิวเซอร์ทั้งที่ยังไม่พร้อม เพราะนั่นเป็นเวลาที่จะวิจารณ์และเป็นร่างที่สมบูรณ์จริงๆ คุณต้องเชื่อมต่อกับกระบวนการสร้างสรรค์ในตัวคุณ เร็วเท่าไหร่ยิ่งได้รับความสำเร็จมากเท่านั้น

10. คิดย้ำๆเกี่ยวกับบทของคุณ จนกระทั่งเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุดที่สามารถเป็นได้
    นี่เป็นความท้าทายสุดท้ายของนักเขียนบทมือชีพ นั่นคือคิดแล้วคิดอีก-ครั้งแล้วครั้งเล่าจนคุณค้นพบทางที่ดีที่สุดที่จะบอกเรื่องราวนี้ หากคุณคิดว่าเรื่องและตัวละครสมบูรณ์แบบแล้ว คุณควรจะลองจินตนาการในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเขียนเรื่องได้ดีกว่า แต่มันจะช่วยคุณทำงานกับบริษัทถ่ายทำและสตูดิโอ เมื่อเขาขอเปลี่ยนแปลงบทของคุณได้
"ทำให้บทบัญญัติ 10 ข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเขียนบท
และสักวันในไม่ช้าคุณจะเขียนบทภาพยนตร์ฮอลีวู้ดได้เหมือนพระเจ้าเขียนเลย"



ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html

เทคนิคถ่ายวีดีโอง่ายๆ 10 ข้อที่ผู้ชมดูแล้วประทับใจ

เทคนิคถ่ายวีดีโอง่ายๆ 10 ข้อที่ผู้ชมดูแล้วประทับใจ
1. คิดและวางแผนก่อนถ่ายวีดีโอ
2. โฟกัสจุดที่เราสนใจในการถ่ายวีดีโอ
3. ความยาวของวีดีโอในแต่ละช็อต
4. ใบหน้าถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีที่สุด
5. ซูมด้วยเท้าก่อนเป็นอันดับแรก
6. Move – Point – Shoot – Stop
7. พยายามให้แสงอยู่ด้านหลังเรา
8. อย่าใช้ effect ใดๆในกล้องวีดีโอ
9. ชนิดของงานแปรผันกับความยาวของวีดีโอทั้งหมด
10. ไมโครโฟนภายนอกเป็นสิ่งจำเป็น



ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html

การเขียนบทหนังสั้น

การเขียนบทหนังสั้น

  1. 1. การ เขียน บท หนังสัน ้ การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นามาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราว หรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ
  2. 2. 1. Research 2. Theme 3. Plot 4. Synopsis 5. Treatment 6. Scenario 7. Paradigm 8. Screenplay 9. Shooting script 10. Storyboard
  3. 3. Research ต้องยอมรับว่า คนทาหนังสั้น ส่วนใหญ่จะละเลยในขั้นตอนนี้ ซึ่งที่ จริงแล้วเป็นสิ่งสาคัญ หนังเกี่ยวข้องกับมนุษย์ เราก็เป็นมนุษย์ เราเกี่ยวข้อง กับอะไรบ้าง? นั่นแหละคือสิ่งที่ตัวละครเกี่ยวข้อง การ research เป็นการหารายละเอียดของตัวละครมาหาใส่ ที่จริงการ research ไม่มี format จุดประสงค์คือเก็บเกี่ยวข้อมูลของตัวละครให้ ได้มากที่สุด สร้างเป็นประวัติของตัวละคร
  4. 4. research 1.ชื่อ 2.อายุ 3.ภูมิลาเนาวิถีชีวิตของคน 4.ระดับการศึกษาจะมีผลต่อวุฒิภาวะของตัวละคร 5.อาชีพเป็นปัจจัยที่สร้างตัวตนของตัวละครที่ชัดเจน 6.ฐานะการเงินเป็นพื้นฐานชีวิตของตัวละคร 7.กลุ่มทางสังคม 8.ตัวละครพิเศษ 9.ความต้องการในชีวิต
  5. 5. Theme แก่น ใจความสาคัญ แนวคิดหลัก สาร ประเด็น ฯ หนังสั้นที่ได้ผลดี ควรจะมี theme เพียงหนึ่งเดียว คือมีประเด็นหลัก ที่ต้องการจะสื่อสารเพียงหนึ่งสิ่ง การเขียน theme ไม่ได้ต้องใช้คาสวยหรู ไม่ได้เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ ยาก ไม่ต้องเป็นปรัชญา ไม่จาเป็นต้องเป็นแนวคิดสากล เป็นแนวคิดส่วนตัว ก็ได้ เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อในแนวคิดนั้นๆ และมีมุมมองที่จะนาเสนอ
  6. 6. Theme รูปแบบ หรือ format ของ theme มักจะเป็น ประโยคสั้นๆที่มีความชัดเจน theme เป็นประเด็นหรือแนวคิดสาคัญ ที่คนเขียนบทต้องการจะบอก โดยหาสถานการณ์ต่างๆมารองthemeนั้นๆ บางคนก็เอามาจากสานวน สุภาษิต คาพังเพย เช่น กล้านักมักบิ่น ฆ่าควาย อย่าเสียดายพริก ปล่อยเสือเข้าป่า จากคาคม เช่น “Praise the bridge that carried you over.” – George Colman “Well done is better than well said.” - Ben Franklin -
  7. 7. Plot การเขียนพล็อตเปรียบเสมือนการทาแผนที่ แผนผัง การทาพล็อตหนังสั้น มี 3 จุด (Acts) คือ 1.จุดเริ่มต้น อย่างน้อยควรรู้ว่าตัวละครคือใคร 2.จุดหักเห คือสถานการณ์ที่ตัวละครนั้นเจอ ในหนังสั้นมักจะเป็น สถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อนนัก เป็นปัญหาที่ชัดเจนที่สุดของตัวละคร 3.จุดจบ คือสถานการณ์ที่เป็นจุดเข้มข้นสุดของเรื่อง ก่อนที่จะคลี่คลาย หรือจบลง
  8. 8. Synopsis Synopsis ว่า เรื่องย่อ รูปแบบการเขียน synopsis ของหนังสั้น มักจะเป็นความเรียง เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบอย่างย่อ มีความยาวประมาณ 5-6 บรรทัด เล่าตัวละครและเหตุการณ์เพื่อสรุปว่า ใคร ทาอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ฯ ด้วยมุม Objective ของคนเขียนบทเอง คล้ายๆกับการเขียน เรื่องย่อบนปกหลังกล่อง vcd แต่อย่างที่บอก ไม่ต้องกั๊กตอนจบ ในขั้นนี้ แนะนาให้เขียนเรื่องให้ได้ 3 ย่อหน้า (เหมือนเขียนเรียงความ มีคานา เนื้อเรื่อง สรุป) โดยยึดจากหลักการเขียนplot อาจจะเป็น ย่อหน้าของจุดเริ่มต้น 2 บรรทัด ย่อหน้าของจุดหักเห 3 บรรทัดและ ย่อหน้าของจุดจบ 1 บรรทัด
  9. 9. Treatment ในการเขียนบท หมายถึงโครงเรื่องขยาย คือมีการเขียนคาอธิบาย ขยายเนื้อเรื่องชัดเจนมากขึ้น เหมือนรูปแบบของนวนิยายหรือเรื่องสั้น มีการ บรรยายรายละเอียดต่างๆที่จาเป็นต่อการเล่าเรื่อง เช่น ชื่อตัวละคร ลักษณะ ตัวละคร สถานการณ์ต่างๆ สถานที่ วัน เวลา เหตุผลของตัวละคร ฯ แต่ยังไม่มี บทสนทนา (นอกจากว่า จะเป็นประโยคสาคัญ) treatment หนังสั้น มักมีความยาวประมาณ 1 หน้ากระดาษ A4 เป็นบทที่นิยมมอบให้คนอื่นอ่าน เพราะจะมีรายละเอียดที่มากพอจะ เล่าเรื่องได้สมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงมักตั้งชื่อตัวละครไปด้วย อย่างที่เคย กล่าวมาว่า ชื่อตัวละครของหนังสั้นที่ดี ควรจะสื่อถึง character ด้วย
  10. 10. Scenario Scenario เป็นขั้นตอนต่อมาจาก treatment มีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งฉากของ treatment ให้เห็นเป็น scene ชัดเจน และนิยมเขียนเป็นข้อๆว่า ใน scene เกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อ คานวณความยาวของแต่ละฉาก และคะเนได้ว่าทั้งเรื่องจะยาวเท่าไหร่ สานวนการเขียนจะรวบรัด และใช้ภาษาอธิบายเหตุการณ์ การแสดง มากกว่าอธิบายความคิด หรืออารมณ์ตัวละคร ในขั้นการเขียน scenario จะมีการเขียนหัวฉาก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
  11. 11. Scenario 1.Scene Number เขียนว่า ฉาก1 หรือ Scene1 หรือ run เป็นตัวอักษร ตามแต่ถนัด
  12. 12. Scenario 2. ระบุว่าเป็นฉากภายนอกหรือภายใน ฉากภายนอก หมายถึง ฉากที่อยู่กลางแจ้ง ภายนอกจากอาคารหรือสิ่ง ปกคลุม นิยมเขียนว่า ภายนอกหรือ Exterior หรือ Ext. ฉากภายใน หมายถึง ฉากที่มีฝาผนังอย่างน้อย 1 ด้าน ภายใน อาคาร อุโมงค์ใต้ดิน ในรถ ในบ้าน นิยมเขียนว่า ภายในหรือ Interior หรือ Int.
  13. 13. Scenario 3. ชื่อฉาก หมายถึง ชื่อสถานที่นั้นๆ เช่น ห้องฉุกเฉิน สถานีตารวจ ออฟฟิศฯ (ให้เขียนชื่อสถานที่ตามเนื้อเรื่อง ไม่ใช่ชื่อ Location จริง)
  14. 14. Scenario 4. เวลา ให้เขียนเวลาตามเนื้อเรื่อง นิยมเขียน กลางวัน, กลางคืน หรือ Day, Night แต่ถ้าจะระบุช่วงเวลาละเอียดกว่านั้นก็ได้ เช่น เช้าตรู่, เที่ยง, โพล้เพล้
  15. 15. Paradigm เป็นขั้นตอนที่สาคัญขั้นตอนหนึ่งที่ช่วยสรุปจังหวะของการเขียนบท ที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ถอยออกมา แล้วมองเรื่องทั้งเรื่อง เป็นจังหวะหรือ step ของการดาเนินเรื่อง ขั้นตอนนี้ จะเน้นไปที่การวิเคราะห์และตีความ คุณสมบัติหรือหน้าที่ ของแต่ละฉาก ว่าอะไรขาด อะไรเกิน การเล่าเรื่อง เล่าอารมณ์ มันเป็ยังไง เราต้องสรุปได้ว่า ฉากนั้นๆ มีประโยชน์อย่างไร จะได้แก้ไขก่อนจะเข้าสู่ Screenplay
  16. 16. Screenplay คือบทภาพยนตร์ที่ เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมี ขั้นตอน ประกอบด้วย ตัวละครหลัก บทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ ฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกากับช็อต และโดยหลักทั่วไป บทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที
  17. 17. Shooting script เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทาจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตาแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีเลขลาดับช็อตกากับไว้ โดยเรียงตามลาดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง
  18. 18. Storyboard คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือ การ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์ มีคาอธิบายภาพ ระบุเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสาหรับการถ่ายทา หรือใช้เป็นวิธีการ คาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทาว่า เมื่อถ่าย ทาสาเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
  19. 19. Storyboard Walt Disney นามาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัท เป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้า ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลาดับช็อตกากับไว้ มีคาบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย
  20. 20. Referent http://www.slideshare.net/duangsuwunlasadang/1storyboard?from_search=10 http://www.moralmedias.net/index.php?option=com_content&task=view&id=33&Itemid=39 http://www.slideshare.net/ciellauren/storyboarding-1412888 http://samforkner.org/source/dirshortfilm.html http://www.youtube.com/watch?v=mYnsKATCrdw http://chas-m.blogspot.com/
  21. 21. The End



ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html

คู่มือการใช้โปรแกรม IMOVIE

คู่มือการใช้โปรแกรม IMOVIE


1. คลิกที่ icon iMovie เพื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมา คลิกFile เลือก New project จากนั้นเลือกThemes ตั้งชื่อproject แล้วคลิก create

2. ทำการ import ไฟล์วิดีโอ โดยเลือกโฟลเดอร์ที่บันทึกวิดีโอไว้ แล้วกด import

3. จะปรากฎรายการวิดีโอคลิปต่างๆที่เราถ่ายไว้แล้ว ขึ้นมาให้เลือก โดยวิดีโอที่ถ่ายครั้งหลังสุดจะอยู่ด้านบนสุด

4.เมื่อชี้เมาส์ไปตามวิดีโอมันจะทำการรีวิววิดีโอไปที่จอเล็กด้านข้าง เมื่อเลือกได้แล้วว่าต้องการวิดีโอไหนก็คลิกแล้วลากซึ่งจะปรากฏเป็นกรอบสีเหลือง จากนั้นคลิกลากไปไว้ที่ project Library

5.ทำต่อไปเรื่อยๆ เมื่อต้องการเพิ่มTitleให้คลิกที่ Titleแล้วลากมาวางทับวิดีโอนั้น แล้วไปพิมพ์ข้อความที่ต้องการที่รีวิววิดีโอ

6.เมื่อจะทำการบันทึก ให้คลิกที่ share => Export Movie => imovie




ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/sequence-of-shot.html

การเขียนบทภาพยนตร์

ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์

1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)

      เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม



2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)

      หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า…” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น

3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)

      คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)

4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)

      เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ

5. บทภาพยนตร์ (screenplay)




ที่มา : http://luck-graphic-design.blogspot.com/2011/07/blog-post_7454.html